Cherreads

เทพอสูรบรรพกาลตนสุดท้ายในวันสิ้นโลก

suwannasa_niyay
7
chs / week
The average realized release rate over the past 30 days is 7 chs / week.
--
NOT RATINGS
312
Views
Synopsis
หลังจากเขาตื่นขึ้นมาพลันพบว่า ป่าเชียนหยวนหายไปและแทนที่ด้วยทะเลทรายกว้างใหญ่ สัตว์อสูรที่พบเจอล้วนไม่รู้จัก เป็นอีกครั้งที่เขาคิดว่าตนเองเป็นเทพอสูรที่โง่เขลาที่สุดในบรรดาสัตว์เทพอสูรด้วยกัน!
VIEW MORE

Chapter 1 - ตอนที่ 1 

 

 

 ระหว่างหุบเขาเชียนเทียนซานกับหุบเขาหยวนหมิงซาน ปรากฏผืนป่ารกร้างกว้างใหญ่กินพื้นที่หลายร้อยลี้ [1] ป่าแห่งนี้เต็มไปด้วยต้นไม้โบราณอายุหลายพันปีสูงตระหง่าน รูปร่างทั้งประหลาดทั้งแปลกตาทอดเงาลงสู่ผืนดินเบื้องล่างประหนึ่งแดนปีศาจ 

แม้ว่าบรรยากาศในผืนป่าจะแลดูลึกลับชวนพิศวง แต่กลับเป็นสถานที่อันเป็นที่หนึ่งไม่มีสอง ทอดตามองทั่วแคว้นเปียนก็มิอาจเสาะหาสถานที่อันเลิศล้ำเช่นนี้ได้อีกแล้ว ป่าแห่งนี้ถูกโลกภายนอกขนาดนามว่าป่าเชียนหยวนและยังเป็นแดนสุขสันต์ของเหล่าสัตว์อสูร สำหรับชนชั้นชาวยุทธ์ ป่าเชียนหยวนเปี่ยมด้วยภัยอันตราย แต่กลับเต็มไปด้วยโอกาส ผู้มีความสามารถอีกทั้งไม่กลัวตายจำนวนไม่น้อยบุกเข้าป่าเพื่อจับสัตว์อสูรมาทำพันธสัญญากันเป็นจำนวนมาก

ไม่มีสถานที่ใดที่ทั้งน่าหวาดหวั่น และยังเป็นที่หมายปองมากไปกว่าป่าเชียนหยวน ซึ่งเป็นสถานที่ที่สวรรค์มีไว้เพื่อผู้เก่งกล้ามีความสามารถ ผู้ที่ได้ครอบครองสัตว์อสูรเมื่อออกสู่ยุทธภพย่อมมีอำนาจเหนือไปอีกขั้นหนึ่งนอกจากระดับของตบะบำเพ็ญเพียร

ป่าเชียนหยวนดำรงอยู่ระหว่างหุบเขาเชียนเทียนซานกับหุบเขาหยวนหมิงซานมาเป็นเวลายาวนาน บันทึกประวัติศาสตร์ของแคว้นเปียนยังไม่อาจสืบพบที่มาของป่าแห่งนี้ได้ว่ามันถือกำเนิดขึ้นมาตั้งแต่เมื่อใด ผู้คนทั่วไปล่วงรู้เพียงว่าสถานที่แห่งนี้มีเทพอสูรบรรพกาลตนหนึ่งเป็นผู้ปกครองเท่านั้น ภายใต้การปกครองของสัตว์วิเศษเช่นนี้ ป่าเชียนหยวนจึงได้รับการยอมรับจากแคว้นเปียนที่อยู่ทางเหนือของหุบเขาเชียนเทียนซานและแคว้นอิ่งที่อยู่ทางใต้ของหุบเขาหยวนหมิงซาน 

ใจกลางของป่าเชียนหยวนมีตาน้ำศักดิ์สิทธิ์ผุดขึ้นมา ด้านข้างตาน้ำมีต้นไม้โบราณขนาดใหญ่ต้นหนึ่งหยั่งรากอยู่เคียงข้างตาน้ำแห่งนี้ประหนึ่งปกปักรักษา รากของต้นไม้โบราณมีขนาดใหญ่กระทั่งคนผู้หนึ่งยังโอบไม่รอบ บนรากไม้ที่ใหญ่ที่สุดมีสิ่งปลูกสร้างหลังหนึ่งรูปทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้า ด้านยาวถูกแบ่งออกเป็นสามห้องมีเฉลียงขนาดใหญ่เชื่อมต่อกัน ยามทอดตามองจากเฉลียงแห่งนี้จะพบแปลงปลูกสมุนไพรวิเศษขนาดไม่ใหญ่ไม่เล็กอยู่ด้านข้างตาน้ำศักดิ์สิทธิ์ สมุนไพรเหล่านี้ล้วนเป็นสมุนไพรระดับสูงอีกทั้งยังหายากเป็นอย่างยิ่ง

ห่างออกไปหลายสิบลี้ปรากฏงูยักษ์เกล็ดสีขาวแวววาวราวไข่มุกล้ำค่าตัวหนึ่งนอนขวางทอดลำตัวยาวของมันประหนึ่งกำแพงเมืองอันแข็งแกร่ง หัวสามเหลี่ยมนัยน์ตาสีแดงชาดจ้องมองไปทางทิศเหนือซึ่งเป็นที่ตั้งของหุบเขาเชียนเทียนซาน ที่บัดนี้ท้องฟ้าเหนือชายป่าได้ถูกปกคลุมไปด้วยควันดำหนาทึบ 

ประกายพลังฤทธิ์รุกคืบพ้นชายป่าเข้ามาอย่างเชื่องช้า เสียงกรีดร้องโหยหวนของเหล่ามารดังขึ้นสะท้อนอยู่ในผืนป่า ต้นไม้โบราณอายุหลายพันปีล้มลงมากมายอย่างน่าเสียดาย เหนือขึ้นไปเงาร่างสีมรกตกำลังพุ่งตรงมายังงูขาวเกล็ดน้ำแข็ง 

วิหคเพลิงสีมรกตบินโฉมเข้ามายังเหนือหัวสามเหลี่ยมของงูขาวยักษ์ ปากส่งเสียงกู่ก้องเสียงดังสะท้านฟ้าก่อนกลายร่างเป็นบุรุษหนุ่มผู้หนึ่ง เมื่อหยั่งเท้าแตะพื้นร่างของจางเย่าพลันซวนเซพิงร่างที่อ่อนล้าเข้ากับลำตัวใหญ่ยักษ์ของฟางหนี งูขาวเกล็ดน้ำแข็ง

"สถานการณ์ยังเบื้องนอกเป็นอย่างไรบ้าง" ฟางหนีแม้เอ่ยถามหากแต่สายตายังคงจับจ้องไปยังประกายพลังฤทธิ์ที่เริ่มปรากฏให้เห็นอย่างเบาบาง แต่กลับแจ่มชัดกว่าเมื่อครู่นี้ไม่น้อย

"คาดว่าจะร้ายมากกว่าดี อีกไม่นานซิวโจวกับจื่อเชาคงจะต้านทานพวกมารไว้ไม่อยู่ อีกทั้งก่อนข้าจะบินมาหาเจ้ายังปรากฏมารในระดับก่อกำเนิดถึงสามตนด้วยกัน"

"มารระดับก่อกำเนิด [2] เป็นไปได้อย่างไร?" 

ฟางหนีกล่าวออกมาอย่างยากจะเชื่อ มันจำได้ว่าในศึกใหญ่ระหว่างมนุษย์และเหล่ามารเมื่อเจ็ดร้อยกว่าปีก่อน เทพอสูรบรรพกาลซึ่งมีหน้าที่พิทักษ์รักษาแว่นแคว้นทั้งสี่ได้ร่วมแรงร่วมใจกับเหล่าสัตว์อสูรจำนวนหลายพันตนออกรบต่อต้าน ในยามนั้นปรากฏเหล่ามารระดับก่อกำเนิดกว่าพันตน ซึ่งล้วนมีสติปัญญาและเล่ห์เหลี่ยมไม่ต่างจากมนุษย์แม้แต่น้อย เป็นเหตุให้ศึกในคราวนั้นแม้ฝ่ายมนุษย์และสัตว์อสูรจะได้รับชัยชนะ แต่กลับต้องแลกมากับการดับสูญของเทพอสูรมังกรไพรและเทพอสูรเสือวารี ส่วนเทพหงส์เพลิงสวรรค์นั้นได้รับบาดเจ็บสาหัส ตบะถดถอย ยามนี้จึงเหลือตบะเพียงระดับหล่อหลอมเท่านั้น ด้านเทพอสูรเต่าพสุธาผู้เป็นนายของมัน ในยามนั้นมีตบะระดับก่อกำเนิดซึ่งนับว่าอ่อนด้อยที่สุดในบรรดาสัตว์เทพอสูรด้วยกัน แต่กลับมีพลังป้องกันที่แข็งแกร่งเป็นอย่างยิ่ง จึงโชคดีรอดพ้นคราวเคราะห์ในครานั้นมาได้ 

"ข้าคาดว่ามารทั้งสามตนเป็นปลาที่หลุดจากตาข่ายในคราวนั้น พวกมันคงสืบกระทั่งล่วงรู้ว่านายท่านกำลังจำศีลเพื่อเลื่อนระดับเข้าสู่มหายาน เพื่อป้องกันมิให้นายท่านที่บรรลุขึ้นสู่ระดับสูงสุดและนำกำลังบุกเข้ากวาดล้างรังของพวกมัน จึงถือโอกาสบุกเข้าโจมตีป่าเชียนหยวนเช่นนี้"

ฟางหนีผงกหัวอันใหญ่โตของนางเล็กน้อยตอบรับความคิดของสหาย พวกมันยังมิทันได้ขบคิดแผนการรับมือพลันพบเห็น ซิวโจวและจื่อเชากำลังถอยร่นกลับมา ไม่นานร่างของสิงโตสีครามแผงคอซึ่งราวกับเมฆเคลื่อนคล้อยได้กระโจนมาถึงเบื้องหน้าของมัน ติดตามมาด้วยจิ้งจอกสีขาวราวหิมะหากแต่ปลายหางทั้งเก้าของมันกลับเหลือบไปด้วยสีสันต่าง ๆ ไม่ซ้ำกัน 

"มารระดับก่อกำเนิดทั้งสามตนนั้นมากด้วยแผนการยิ่งนัก คาดว่าการบุกครานี้พวกมันคงวางแผนมาอย่างดี และการที่ข้าเรียกรวมพลเหล่าสัตว์อสูรไม่ได้คงเป็นเพราะพวกมันวางหลุมพรางบางอย่างไว้อย่างแน่นอน" สิงโตวายุกล่าวขึ้นด้วยความเดือดดาลเป็นอย่างยิ่ง

"หรือว่าป่าเชียนหยวนในยามนี้จะเหลือเพียงพวกเราสี่ตนเท่านั้น" ฟางหนีกล่าวออกมาด้วยความกังวล

"คงไม่ผิดจากที่ซิวโจวกล่าว ไม่เช่นนั้นการต่อสู้สะเทือนผืนป่าเช่นนี้ เหตุใดจึงไม่พบเห็นสัตว์อสูรตนอื่นปรากฏตัวมาสมทบกันเล่า" จิ้งจอกมายากล่าวพลางมองไปโดยรอบป่าเชียนหยวน 

"หากสถานการณ์เป็นเช่นนี้ ข้าเกรงว่าพวกมันจะก่อกวนกระทั่งส่งผลถึงนายท่านซึ่งกำลังจำศีลบำเพ็ญตบะอยู่เป็นแน่ และผลที่ออกมาคงมีแต่ร้ายมากกว่าดี" สิงโตวายุกล่าวพลางตั้งท่ารับมือกับมารที่กำลังพุ่งตรงมายังพวกมัน

"ไม่ได้! อีกเพียงสองปีเท่านั้นนายท่านก็จะเลื่อนระดับขึ้นสู่มหายาน จะให้เกิดข้อผิดพลางแม้เพียงน้อยนิดไม่ได้!" ฟางหนีกล่าวด้วยน้ำเสียงตื่นตระหนก

"พวกเราถอยไปอยู่ภายใต้ข่ายอาคมป้องกันของนายท่านก่อนดีหรือไม่ อย่างน้อยจะได้มีเวลาคิดหาวิธีการรับมือกับฝูงมารเหล่านี้ อีกทั้งหาทางติดต่อเหล่าสัตว์อสูรตนอื่น" ซิวโจวกล่าวพลางสลัดขนแผงคอ ก่อให้เกิดลมหมุนคลายกงจักรร่อนไปยังเบื้องหน้า ตัดหัวมารตนแล้วตนเล่าที่เดินมาอย่างสะเปะสะปะราวกับพวกมันเดินเรียงแถวเข้าสู่คมดาบ

"ไป!" จิ้งจอกมายากล่าวพลางเปิดช่องมิติ ปรากฏช่องว่างลักษณะเดียวกันด้านหน้าฝูงมารนับสิบตน จากนั้นมันจึงสะบัดหางทั้งเก้าพร้อมกันผ่านช่องมิติ พิษร้ายแรงเก้าชนิดหลอมรวมกันก่อให้เกิดหมอกพิษกระทั่งกัดกร่อนร่างมารทั้งหลายจนไม่เหลือแม้แต่ซาก

สัตว์อสูรทั้งสี่รีบรุดไปยังส่วนลึกของป่าเชียนหยวนซึ่งเป็นที่ตั้งของบึงน้ำศักดิ์สิทธิ์ทันทีที่พวกมันสามารถสลัดหลุดจากเหล่ามารที่โหมโจมตีเข้ามาอย่างต่อเนื่อง 

เบื้องหน้าบึงน้ำศักดิ์สิทธิ์ปรากฏม่านบางเบาโปร่งแสงสีดำประกายม่วงห้อมล้อมรอบบึงน้ำ จิ้งจอกมายาสร้างประตูมิติขึ้นกลางอากาศก่อนถึงเขตแดนของข่ายอาคมเพียงไม่ถึงหนึ่งจั้ง [3] จากนั้นก็มุดหายเข้าไปภายในเป็นตนแรกติดตามมาด้วยวิหคเพลิงมรกต งูขาวเกล็ดน้ำแข็ง และสิงโตวายุที่คอยคุ้มกันอยู่เบื้องหลังให้กับเหล่าสหาย

พวกมันมาปรากฏตัวอยู่ภายใต้ข่ายอาคมเกราะป้องกันที่นายท่านสร้างขึ้น อีกทั้งมีเพียงพวกมันสี่ตนเท่านั้นถึงจะเข้ามาภายในข่ายอาคมแห่งนี้ได้ 

วิหคเพลิงมรกตกลายร่างเป็นมนุษย์อีกครา จากนั้นพลันล้มพับลงไปนั่งอยู่ข้างก้อนหินริมบึงพลางหอบหายใจอย่างเหนื่อยล้า มันใช้พลังฤทธิ์มากเกินไปจนไม่อาจเค้นออกมาได้อีก การทำเช่นนั้นจะทำให้ตบะของตนถดถอย

"ยามที่นายท่านกางข่ายอาคมผืนนี้ ได้อยู่ระดับก่อกำเนิดขั้นสูงแล้ว ถึงแม้จะเป็นมารระดับก่อกำเนิดเฉกเช่นเดียวกันก็ใช่ว่าจะทำลายข่ายอาคมอันแข็งแกร่งของนายท่านลงได้" งูขาวเกล็ดน้ำแข็งกล่าวปลอบใจจางเย่า

ผ่านไปราวสองเค่อ [4] เงาร่างของเหล่ามารพลันปรากฏให้เห็นยังเบื้องหน้า ฝูงมารมีจำนวนมากมายกระทั่งมองเป็นเงาดำปกคลุมไปทั่วทั้งผืนป่า ร่างกายซึ่งปกคลุมห้อมล้อมไปด้วยควันดำส่งกลิ่นเหม็นเน่าคละคลุ้งไปทั่วบริเวณ เห็นเพียงดวงตาไร้ประกายสีแดงก่ำคล้ายดั่งหลุมโลหิตที่ลึกสุดหยั่ง

"ซิวโจว เจ้ารีบส่งสารของความช่วยเหลือไปทางท่านหงส์เพลิงสวรรค์ หากท่านนำกำลังสัตว์อสูรในปกครองมาช่วยเหลือได้ทันท่วงที นายท่านคงสามารถผ่านด่านเคราะห์คราวนี้ไปได้อย่างปลอดภัย" จื่อเชากล่าวกับสิงโตวายุพลางทอดสายตามองไปยังก้นบึงน้ำศักดิ์สิทธิ์ 

น้ำในบึงน้ำศักดิ์เป็นสีทองอร่าม หากแต่ใสกระจ่างเป็นอย่างยิ่ง กระทั่งผู้ที่ยืนมองอยู่ยังขอบบ่อยังสามารถมองเห็นก้นบึงที่ลึกลงไปหลายร้อยจั้งได้อย่างชัดเจน เต่าดำขนาดเท่ารถม้าตัวหนึ่งนอนจำศีลอยู่ก้นบ่อ กระดองสีดำเงางาม ลวดลายบนกระดองหาได้เหมือนกับเต่าธรรมดาไม่ แต่เป็นลวดลายของอักขระโบราณส่องประกายสีม่วงเหลือบทองสะท้อนกับผิวน้ำจนทำให้เหนือบึงน้ำศักดิ์สิทธิ์ปรากฏประกายสีทองเรืองรองปกคลุมไปทั่วทั้งผิวน้ำ

หลังจากซิวโจวส่งสารขอความช่วยเหลือไปหนึ่งชั่วยาม [5] วิหคน้อยที่สร้างขึ้นจากพลังฤทธิ์พลันบินมาหยุดอยู่เบื้องหน้าข่ายอาคมก่อนแปรเปลี่ยนเป็นอักษรเพลิงแถวหนึ่ง

'เราจะเร่งรุดมาโดยเร็ว' ข้อความจากหงส์เพลิงไฟสวรรค์

หลังจากอักษรเพลิงสลายไปพลันมีเสียงหัวเราะระคายหูดังมาจากฝูงมารเบื้องหน้าข่ายอาคม สัตว์อสูรทั้งสี่ตนหันขวับไปยังทิศทางนั้นอย่างตื่นตระหนก ท่ามกลางฝูงมารพลันปรากฏมาตนหนึ่งก้าวเดินออกมา มารตนนี้หาได้มีรูปลักษณ์ผิดแผกไปจากพวกพ้องไม่ เพียงแต่มันกลับมีดวงตาเพียงดวงเดียวอยู่บนหน้าผาก นัยน์ตาไร้กายสีแดงจนเกือบดำ

"หุบเขาเปลี่ยวร้างห่างไกลถึงเพียงนั้น หงส์เพลิงไฟสวรรค์ซึ่งมีตบะเหลือเพียงระดับหล่อหลอม ต่อให้เร่งรุดเดินทางทั้งวันทั้งคืนโดยมิได้หยุดพักยังต้องใช้เวลาถึงสิบวัน พวกเจ้าคิดว่าจะยังมีชีวิตอยู่ได้สักกี่วันกันเชียว" มารตนนั้นกล่าวด้วยเสียงเล็กแหลมระคายหูยิ่งนัก

'ระดับมหายาน!'

สัตว์อสูรทั้งสี่ตระหนกตกใจอย่างยิ่งยวด เมื่อเห็นว่ามารตาเดียวตนนั้นมีระดับตบะถึงขั้นมหายาน พลังฤทธิ์ตลอดจนสติปัญญาของมันไม่ต่างอันใดกับเทพอสูรบรรพกาลแม้แต่น้อย อีกทั้งข่ายอาคมเกราะป้องกันที่นายท่านสร้างขึ้นจะสามารถต้านทานพลังฤทธิ์ของมันได้หรือไม่ เนื่องด้วยตบะระดับก่อกำเนิดกับระดับมหายานนั้นห่างชั้นกันเป็นอย่างมาก คราวเคราะห์ครานี้นายท่านจะมิอาจรอดพ้นได้จริง ๆ เช่นนั้นหรือ?

"ข้าจะย้ายร่างนายท่านเข้าไปอยู่ในมิติจิตขั้นปฐมภูมิของนายท่าน" จื่อเชากล่าวอย่างไม่ลังเลแม้แต่น้อย อีกทั้งไม่เปิดช่องให้สหายตนอื่นได้ใคร่ครวญปรึกษา

"แม้เจ้าจะมีพลังฤทธิ์สามารถสร้างห้วงมิติมายาขึ้นมาได้ ใช่ว่าเจ้าสามารถผสานเปิดมิติจิตของนายท่านได้" ฟางหนีกล่าวด้วยน้ำเสียงห่วงใย ด้วยแม้สหายของมันจะสามารถกระทำได้ แต่ด้วยตบะที่แตกต่างกันเช่นนี้ ก็ใช่ว่าจะสามารถผสานมิติจิตของมันกับนายท่านได้สำเร็จ 

"ต่อให้ข้าต้องสูญสิ้นตบะทั้งหมดกระทั่งร่างแหลกสลายเป็นผุยผงข้าก็ยินยอม ของเพียงนายท่านรอดพ้นคราวเคราะห์ครั้งนี้และบรรลุตบะระดับมหายานได้ ชีวิตของสัตว์อสูรตนหนึ่งจะนับเป็นกระไรได้"

ซิวโจวได้ยินเช่นนั้นพลันให้เลื่อมใสในตัวสหายของตนเป็นอย่างยิ่ง 

"พวกข้าจะคุ้มกันให้แก่เจ้าเอง" คำกล่าวนี้คล้ายเป็นการตัดสินใจของพวกมันทั้งสี่ ไม่มีตนใดเอ่ยขัดขวางแม้แต่ครึ่งคำ

ซิวโจวกระโจนขึ้นมายังเบื้องหน้า สะบัดขนแผงคอสองครั้ง กงจักรวายุสองวงพุ่งผ่านข่ายอาคมเกราะป้องกันไปยังมารตาเดียวอย่างรวดเร็ว ครั้นมารตาเดียวเห็นกงจักรที่สร้างขึ้นจากพลังฤทธิ์ของสัตว์อสูรระดับก่อกำเนิดพลันหัวเราะยาวนานด้วยเสียงดังระคายหู พลางโบกมือคราหนึ่งปัดให้กงจักรวายุกระเด็นไปกระแทกถูกต้นไม้โบราณกระทั่งเกิดเสียงดังกึกก้องไปทั่วทั้งผืนป่า

เวลานี้รอบกายสิงโตวายุถูกห้อมล้อมไปด้วยศรวายุนับร้อยดอก อีกทั้งยังคงเพิ่มจำนวนขึ้นไม่หยุด อสูรอีกสองตนไม่พูดมากออกพลังฤทธิ์โดยพร้อมเพรียงกันเพื่อสนับสนุนการโจมตีของซิวโจวทันที

แม้จื่อเชาจะเห็นเหล่าสหายพอจะสกัดกั้นมารตาเดียวไว้ได้ แต่ก็ตึงมือไม่น้อย มันจึงรีบตั้งสมาธิร่ายอาคมสร้างมิติมายาขึ้นมา ประตูมิติพลันปรากฏขึ้นเหนือบึงน้ำศักดิ์สิทธิ์ อีกทั้งยังผสานมนต์มายาเพื่อลวงตาฝูงมารภายนอกข่ายอาคมหมายพรางตาไม่ให้พวกจับความเคลื่อนไหวของมันได้ 

การใช้พลังฤทธิ์พร้อมมนต์มายาจำต้องใช้พลังมหาศาล จื่อเชาจึงเพ่งสมาธิไปยังการสร้างมิติมายาเพื่อผสานกับมิติจิตของนายท่าน พลังฤทธิ์ทั้งหมดในตอนนี้ของจิ้งจอกมายาล้วนใช้ไปกับการสร้างมิติมายา 

เสียงการต่อสู้กระชั้นชิดเข้ามาใกล้ อีกทั้งเสียงกระเพื่อมของข่ายอาคมเกราะป้องกันยิ่งมายิ่งชัดเจน เห็นได้ชัดว่ามารตาเดียวหาได้สนใจการสกัดกั้นของสัตว์อสูรทั้งสามตนไม่ มันมุ่งแต่จะทำลายข่ายอาคมเกราะป้องกันที่นายท่านสร้างขึ้น แม้จะเป็นเช่นนั้นแต่จื่อเชาหาได้ลนลานไม่ มันไม่สนใจสิ่งใดทั้งสิ้น มันต้องการเพียงจะผสานกับมิติจิตของนายท่านให้จงได้เท่านั้น

ภายใต้แสงสีน้ำเงินเข้มที่สาดส่องออกมาจากมิติมายาของมันพลันปรากฏรัศมีสีม่วงทองอันเป็นเอกลักษณ์ภายในมิติจิตของนายท่านแทรกออกมา มันจึงส่งพลังฤทธิ์เข้าไปผสานสองมิติเข้าด้วยกันทันที เพียงพลังฤทธิ์ของมันสัมผัสถูกห้วงมิติของนายท่าน เป็นเพราะเทพอสูรหาได้ยินยอมไม่ พลังฤทธิ์ของมันจึงสะท้อนกลับมาจนร่างกายถึงกับสะเทือน พลังอันมากมายมหาศาลของนายท่านวิ่งชนไปทั่วร่าง เกือบจะฉีกกระชากร่างของมันให้แตกออกเป็นเสี่ยง ๆ แม้จื่อเชาจะตาลายเจ็บปวดทรมานถึงที่สุด กระทั่งกระอักเลือดออกมา แต่ยังคงพยายามส่งพลังฤทธิ์เข้าไปอย่างต่อเนื่องโดยไม่สนใจชีวิตของมัน จุดมุ่งหมายเพียงหนึ่งเดียวของมันในยามนี้คือการผสานสองมิติเข้าด้วยกันให้ได้

ในยามที่จื่อเชากำลังสร้างผสานทั้งสองมิติอยู่นั้น ทางด้านสัตว์อสูรทั้งสามตนก็กำลังถูกฝูงมารโหมโจมตีอย่างหนัก แม้จะมีข่ายอาคมเกราะป้องกันเป็นข้อได้เปรียบขว้างกันอยู่ แต่กลับถูกหักล้างโดยพลังกดทับของมารตาเดียวระดับมหายานที่มิอาจดูเบา ทำให้การต่อสู้ครั้งนี้ของพวกมันยากลำบากขึ้นอีกหลายส่วน

 ฟาวหนีเห็นจื่อเชากระอักเลือดออกมาติดตามมาด้วยพวงหางงดงามหนึ่งในเก้าของจิ้งจอกมายาสลายหายไปในอากาศ ตัวมันซึ่งมีพลังในการจู่โจมจำกัด แต่พลังในการป้องกันนั้นกลับแข็งแกร่งกว่าพวกพ้องอีกสามตน มันจึงไม่ขบคิดอันใดให้มากความ ขยายร่างงูขาวของตนขึ้นอีกหลายส่วนพลางกล่าวกับวิหคเพลิงมรกต

"จางเย่าเจ้าไปช่วยเหลือจื่อเชาเถิด" สิ้นคำนางได้สละตบะเฉกเช่นเดียวกับจิ้งจอกมายาเพื่อขยายร่างของตนให้ใหญ่ขึ้นกว่าร่างเดิมของมันถึงหกส่วน

วิหคเพลิงมรกตล่วงรู้ความคิดของสหายแต่มิอาจเอ่ยยับยั้ง มันบินขึ้นไปเหนือมิติมายาของจิ้งจอกมายาจากนั้นส่งพลังฤทธิ์ของตนชำแรกเข้าไปในมิติจิตของนายท่านที่เปล่งแสงออกมาอย่างเลือนราง ทันทีที่พลังของมันปะทะเข้ากับมิติจิต พลังมหาศาลของนายท่านพลันสะท้อนกลับจนร่างของมันลอยไปกระแทกต้นไม้โบราณที่อยู่ไม่ไกลก่อนร่วงลงสู่พื้นดินข้างบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ แม้ร่างกายจะได้รับบาดเจ็บไม่น้อยหากแต่ไม่ย่อท้อมันฝืนบินขึ้นไปอีกทั้งส่งพลังฤทธิ์เข้าไปอย่างต่อเนื่อง

อสูรทั้งสองตนต่างสละตบะของตนร่วมแรงร่วมใจจนสามารถผสานมิติทั้งสองเข้าด้วยได้สำเร็จ กระทั่งร่างเพลิงของวิหคมรกตมอดดับลงเนื่องจากสูญเสียตบะ กลายเป็นเพียงวิหคมรกตตัวหนึ่งจึงสามารถแหวกให้เกิดช่องว่างขนาดใหญ่พอที่จะให้ร่างกายอันใหญ่โตของนายท่านลอดผ่านเข้าไปในมิติจิตของนายท่านได้

เต่าดำตัวใหญ่ยังคงหลับใหลอยู่ก้นบ่อโดยไม่รับรู้เรื่องราวอันวิกฤตซึ่งเกิดขึ้นยังโลกภายนอก อีกทั้งไม่รับรู้แม้แต่น้อยว่าร่างของมันกำลังเคลื่อนที่ ด้านอสูรทั้งสองตนกลับไม่อาจปกปิดความหวาดหวั่นในแววตาเอาไว้ได้ ด้วยพวกมันไม่คิดว่าในยามที่นายท่านจำศีลแม้ร่างกายมิได้ใหญ่โตมโหฬารนักแต่น้ำหนักของร่างที่แท้จริงซึ่งหนักหลายสิบหมื่นชั่ง [6] กลับมิได้เก็บงำแม้แต่น้อย พวกมันจึงต้องเสริมพลังฤทธิ์เข้าไปในการเคลื่อนย้ายร่างของนายท่านอีกหลายส่วน ทางหนึ่งผสานมิติ ทางหนึ่งเคลื่อนย้ายร่างของนายท่าน ไม่ว่าทางใดก็ผลาญพลังตบะแทบทั้งสิ้น 

ฟางหนีซึ่งคอยสังเกตจางเย่าและจื่อเชาอยู่ตลอด พลันเห็นทั้งสองสูญเสียตบะกระทั่งระดับถดถอยลงไปอยู่ที่ระดับหล่อหลอม หากตบะลดลงไปกว่านี้อสูรทั้งสองตนคงมิอาจความคุมการผสานมิติและเคลื่อนย้ายร่างของนายท่านได้เป็นแน่ มันจึงตัดสินใจสละเกล็ดคุ้มกายทันที

เกล็ดของงูขาวที่ขยายร่างจนสุดมีขนาดใหญ่พอ ๆ กับลำต้นของต้นไม้โบราณที่มีอายุหลายพันปี อีกทั้งยังแข็งแกร่งเป็นอย่างมาก แม้ไม่อาจต้านทานพลังฤทธิ์ของมารตาเดียวระดับมหายานได้ แต่เมื่อเกล็ดเหล่านั้นหลอมรวมเข้ากับม่านข่ายอาคมเกราะป้องกันของนายท่าน การที่มารตาเดียวจะทำลายข่ายอาคมก็นับว่ายากขึ้นอีกหลายส่วน งูขาวเกล็ดน้ำแข็งเพียงหวังว่าการสละตบะทั้งหมดของมันจะประวิงเวลาให้กับเหล่าสหายทั้งหลายได้มากขึ้นอีกสักหลายชั่วยาม…

หลังจากฟางหนีสละเกล็ดคุ้มกาย ร่างงูยักษ์พลันหดเล็กลงกระทั่งลำตัวของมันมีขนาดเท่ากับท่อนแขนเด็กทารก สติปัญญาสูญสิ้น มุกวิญญาณแตกสลายกลายเป็นเพียงสัตว์อสูรระดับปฐมภูมิตัวหนึ่งซึ่งไม่ต่างอันใดกับงูทั่วไป งูน้อยไม่อาจทนต่อการแผ่พลังกดทับของมารตาเดียว สุดท้ายร่างจึงแหลกสลายกลายเป็นซากงูตัวหนึ่ง

ซิวโจวแม้จะเศร้าเสียใจไม่น้อยที่ต้องมาเห็นสหายที่คบหากันมาหลายพันปีต้องแหลกสลายไปต่อหน้าต่อตา แต่มันไม่อาจให้การเสียสละของฟางหนีสูญเปล่า เมื่อมันเห็นข่ายอาคมปรากฏประกายเหลือบสีมุกซึ่งเป็นสัญญาณบ่งบอกว่าเกล็ดงูขาวได้ผสานเป็นหนึ่งเดียวกับข่ายอาคมของนายท่านเรียบร้อยแล้ว มันจึงกระโจนมาอยู่ข้างจิ้งจอกมายาที่ในยามนี้เหลือหางเพียงสามพวงเท่านั้น และหนึ่งในนั้นยังมีท่าทีที่จะสลายหายไปในในไม่ช้า 

มันเพิ่งหยั่งอุ้งเท้าทั้งสี่ลงเคียงข้างจิ้งจอกมายา ด้านวิหคมรกตพลันสูญสิ้นตบะไปจนหมดสิ้น กระทั่งกลายร่างเป็นวิหคน้อยสีมรกตสัตว์อสูรระดับปฐมภูมิตัวหนึ่ง ก่อนร่างกายจะระเบิดส่งให้ขนสีมรกตปลิวกระจัดกระจายไปในอากาศด้วยมิอาจทนต้านทานแรงกดทับที่มารตาเดียวแผ่ออกมาได้ มิติมายาซึ่งผสานกับมิติจิตของนายท่านจึงค่อย ๆ หดเล็กลงอย่างรวดเร็วเพราะสูญเสียพลังฤทธิ์จากวิหคเพลิงมรกต 

แต่นับว่าสวรรค์ยังเข้าข้างพวกมันเพราะร่างของนายท่านที่ลอยค้างในบ่อน้ำ แม้ยังลอยขึ้นมาไม่ถึงผิวน้ำด้านบนแต่ก็ไม่จมดิ่งลงไปยังก้นบ่อ ซิวโจวใช้พลังฤทธิ์สร้างลมหมุนกวนให้เกิดกระแสน้ำวนขึ้น เพื่อดันร่างของนายท่านให้ลอยขึ้นมา เต่าดำตัวใหญ่ขนาดเทียบเท่ารถม้าคันหนึ่งลอยขึ้นสู่ผิวน้ำอย่างรวดเร็ว จากนั้นมันยังสะบัดแผงคออีกหลายครั้งหลายคราอย่างไม่หยุดยั้งเพื่อสร้างกระแสลมกระทั่งพัดพาร่างนายท่านเข้าไปในมิติจิตได้สำเร็จ

กระชั้นชิดติดกันนั้น ข่ายอาคมป้องกันพลันสั่นไหวอย่างรุนแรง ซิวโจวมองไปยังจื่อเชาที่ยังคงส่งพลังฤทธิ์เข้าไปยังมิติมายาอย่างต่อเนื่อง ก่อนที่มุกวิญญาณของจิ้งจอกมายาจะแตกสลายมันต้องทำอะไรสักอย่าง ซิวโจวพลันใช้พลังฤทธิ์สร้างกระแสลมพัดพาให้จิ้งจอกมายาเข้าไปสู่มิติจิตของนายท่านทันที เมื่อมุกวิญญาณยังไม่แตกสลาย ความทรงจำของสัตว์อสูรก็ยังคงอยู่ อย่างไรเสียข้างกายนายท่านจำต้องมีผู้ที่สามารถบอกเล่าเรื่องราวการบุกรุกของมารระดับมหายานให้นายท่านได้รับรู้ และเตรียมการต้านรับในภายภาคหน้า

แทบจะพร้อมกับที่เสียงระเบิดดังกึกก้องกัมปนาทจะดังสั่นสะเทือนไปทั่วทั้งผืนป่า สิงโตวายุได้เค้นพลังเฮือกสุดท้ายใช้ตบะทั้งหมดไปกับพลังฤทธิ์เพื่อสร้างกำแพงลมปกป้องประตูมิติที่ค่อย ๆ เลือนหายไปอย่างเชื่องช้า ภาพสุดท้ายที่ซิวโจวเห็นก่อนร่างจะแหลกสลายคือร่างจิ้งจอกน้อยสีขาวบริสุทธิ์ตัวหนึ่งนอนแอบอิงร่างของเต่าดำตัวใหญ่ภายในมิติจิตของเทพอสูรบรรพกาลเต่าพสุธา

 

 

 

เชิงอรรถ

[1] 1 ลี้(里) = 500 เมตร

[2] ระดับบำเพ็ญตบะของมนุษย์ สัตว์อสูร และมาร ปฐมภูมิ ทุติยภูมิ หล่อหลอม ก่อกำเนิด มหายาน [3] 1 จั้ง(丈) = 3.33 เมตร

[4] 1 เค่อ (刻) ประมาณ 15 นาที

[5] 1 ชั่วยาม = 2 ชั่วโมง

[6] 1 ชั่ง (斤) = 500 กรัม